วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

สำนึกของดารากับสื่อบันเทิงไทย


สำนึกของดารากับสื่อบันเทิงไทย




ขอบคุณภาพจาก เดลินิวส์
“สุนัขขี้เรื้อนเลียปากเรา เราก็ไม่เลียปากมันคืนหรอกนะคะ”
“ถ้าว่างนัก ก็ไปเล่นกับเด็กข้างบ้านเถอะค่ะ หนูไม่มีเวลาเล่นด้วย หรือถ้าไม่มีอะไรทำจริงๆ ก็ไปแต่งหญิงก็ได้”
คำพูดที่ยกมานี้ไม่ได้ตัดตอนมาจากบทละครสถานีโทรทัศน์ที่ไหนทั้งสิ้น แต่เป็นถ้อยคำที่หลุดออกจากปากดาราสาวสวยแนวหน้าของวงการบันเทิงไทยหลังเกิดเหตุวิวาทะกับบริษัทออแกไนเซอร์เรื่องค่าตัวจ่ายไม่ครบตามสัญญา จนลุกลามกลายเป็นเรื่องดาราหลีกเลี่ยงภาษีเขย่าขวัญบุคคลในวงการบันเทิงทุกหย่อมหญ้าอยู่ ณ ขณะนี้
ยิ่งไปกว่านั้นระหว่างที่กำลังเป็นข่าวครึกโครม ดาราสาวท่านนี้ยังได้ลงรูปตัวเองในอินเทอร์เน็ต ขณะถ่ายกับลูกชายอดีตปลัดกระทรวงการคลังพร้อมคำบรรยายว่า “อย่ามีเรื่องกับพวกเรานะเว้ยยยยย” ไม่มีใครทราบถึงเจตนาที่แท้จริงของเจ้าหล่อน แต่คนส่วนใหญ่เดาว่าคงต้องการปรามคู่กรณีว่า “อย่าแหลม”
ความจริงแล้ว วาจาเผ็ดร้อนและพฤติกรรมกร่างแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเจ้าตัวเคยประกาศก้องว่า “ไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีของเยาวชนหรือเป็นแฟนต้ายุวทูตที่ต้องคำระมัดระวังคำพูด”
สิ่งที่น่าแปลกคือเธออยู่ในวงการนี้มานานกว่าสิบปี ไม่มีใครบอกเลยหรือว่าดาราเป็นบุคคลสาธารณะที่อาจเป็นตัวอย่างที่ดีของประชาชนโดยเฉพาะเยาวชนอนาคตของประเทศได้ คำให้สัมภาษณ์ของเธออาจทำให้เด็กจำนวนไม่น้อยคิดและเชื่อว่าการเรียกบุคคลอื่น โดยเฉพาะฝ่ายตรงข้ามเป็นสุนัขขี้เรื้อนนั้นเป็นเรื่องธรรมดา
ยิ่งไปกว่านั้นการลงรูปตัวเองกับลูกหลานคนใหญ่คนโตหรือนักการเมืองบุญหนักศักดิ์ใหญ่ทั้งหลายสะท้อนค่านิยมที่น่ารังเกียจมากในสังคมไทยคือ เมื่อมีเรื่องมีราวเกิดขึ้น ผิดถูกอย่างไรก็อีกเรื่องหนึ่ง ทางที่ดีเราต้องอิงผู้ใหญ่ไว้ก่อนปลอดภัยดีที่สุด
นอกจากสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมของดาราแล้ว การสาดโคลนใส่กันผ่านสื่อระหว่างดาราสาวกับคู่กรณียังตอกย้ำให้เห็นสิ่งที่ขาดหายไปจากการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน โดยเฉพาะสื่อบันเทิงทั้งหลายที่ตอนนี้มีเป็นร้อยๆสำนัก เวลาสัมภาษณ์ทีแหล่งข่าวแทบจะต้องเอาไมโครโฟนทัดหูไว้ด้วยข้างละอัน
ตอนนี้ดูเหมือนว่านักข่าวบันเทิงที่ดีคือคนที่ตั้งคำถามให้แหล่งข่าวพูดออกมาจากอย่างเผ็ดร้อนที่สุด แล้วคำพูดที่เผ็ดร้อนเหล่านั้นก็จะกลายเป็นพาดหัวข่าวหรือถูกออกอากาศซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอก ย้ำให้เยาวชนผู้เสพสื่อเกิดความเคยชินว่าเป็นเรื่องธรรมดา หรือ ชื่อด้วยซ้ำไปว่า “ยิ่งแรง ยิ่งดี”
นักข่าวหรือสื่อบันเทิงก็เหมือนลืมหน้าที่สำคัญของตัวเองคือ ให้สาระแก่คนชมหรือผู้เสพสื่อ ไม่ใช่ “เอามันส์” อย่างเดียว อย่างกรณีที่เกิดขึ้นแทบจะไม่มีสื่อ(บันเทิง) สำนักไหนไปทำรายงานพิเศษเรื่องการเลี่ยงภาษีของดารา เป็นต้น แต่ละวันสื่อแต่ละสำนักมุ่งไปหรือไปดักถามว่า “ว่ายังไงต่อ”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือว่า นักข่าวบันเทิงสมัยนี้ไม่ต้องทำการบ้านทั้งก่อนและหลังทำข่าว งานสบายๆคือถือไมโครโฟนจูงมือตากล้อง ไปเจอแหล่งข่าวคือ ถามเลยว่า “น้องจะว่าอย่างไรคะ ฝ่ายโน้นว่าอย่างนี้...” และในวันเดียวกันก็อีกอีกฝ่ายหนึ่ง ก็ถามคำถามว่า “น้องจะว่าอย่างไรคะ อีกฝ่ายหนึ่งว่าอย่างนี้...” เสร็จเรียบร้อยก็ไปตัดต่อหรือเขียนข่าวส่ง แค่นี้ก็ได้ข่าวชิ้นใหญ่แล้ว จบไปหนึ่งวัน รุ่งขึ้นก็ทำแบบเดิม เรียกว่า หากินกับการ “เสี้ยม” ก็ไม่น่าจะผิด
ที่เลวร้ายกว่านั้นคือ นักข่าวบันเทิงปวารนาตัวเป็นกองเชียร์ด้วยเวลาสัมภาษณ์แหล่งข่าว เวลาดาราพูดแรงๆออกมา กองทัพนักข่าวที่รายรอบอยู่มักจะส่งเสียงปรบมือและหัวเราะหัวใคร่กันอย่างสนุกสนาน บรรยากาศการให้สัมภาษณ์ไม่ต่างจากเพื่อนฝูงตั้งกองนินทาใครสักคนที่ไม่อยู่ ณ ที่นั้น  
จริงอยู่ดารากับนักข่าวเจอหน้ากันบ่อยๆ สัมภาษณ์กันบ่อยๆ ก็อาจจะจำหน้ากันได้ จนมีความสนิทสนมกันระดับหนึ่ง แต่อย่าลืมว่าขณะนั้นต่างฝ่ายต่างมีสถานะที่ไม่ใช่เพื่อนหรือคนคุ้นเคย แต่เป็นสื่อมวลชนกับแหล่งข่าว ซึ่งแต่ละฝ่ายก็มีหน้าที่ต่อสังคมด้วยกันทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น ถ้ารักจะเป็นนักข่าวบันเทิงอย่ามักง่าย ทำงานแบบไม่ต้องทำการบ้านจนถนัดเรื่องเดียวคือ “เสี้ยมเขาควายให้ชนกัน”  ตลอดจนอย่าถือสนิทแหล่งข่าวจนเสียความเป็นกลาง นักข่าวที่ไม่เป็นกลางก็คือสื่อมวลชนไร้วิญญาณนี่เอง
ขณะเดียวกันดาราก็อย่าตกเป็นเหยื่ออารมณ์ของตัวเองหรือปลิวไปตามลมปากชักพาของผู้สื่อข่าว ขอให้เตือนตัวเองด้วยโคลงโลกนิติบทนี้
ก้านบัวบอกลึกตื้น                              ชลธาร
มารยาทส่อสันดาน                             ชาติเชื้อ
โฉดฉลาดเพราะคำขาน                     ควรทราบ
หย่อมหญ้าเหี่ยวแห้งเรื้อ                   บอกร้ายแสลงดิน
ไม่ใช่เยาวชนดีเด่นก็เป็นตัวอย่างที่ดีแก่เยาวชนได้ครับเพราะเยาวชนรักและศรัทธาในตัวคุณ อย่าให้ศรัทธานี้สูญเปล่าเลยครับ
น่าเสียดาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น