วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2555

สื่อมวลชนไทยกับอาเซียน




บทบาทสื่อมวลชนกับการก้าวสู่ประชาคมอาเซียน
ขณะที่ผู้นำกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนกำลังเร่งขับเคลื่อนความร่วมมือในหลายด้านเพื่อก้าวสู่การเป็นประชาคมอาเซียนภายในปี 2558 ยังมีกลุ่มวิชาชีพหนึ่งที่เป็นความหวังและมีบทบาทอย่างยิ่งที่จะร่วมผลักดันให้ความฝันของคนอาเซียนบรรลุเป้าหมายได้ นั่นก็คือ สื่อมวลชน
ดังนั้น จึงเป็นที่มาของงานสัมมนาเรื่อง “บทบาทของสื่อมวลชนกับการก้าวสู่ประชาคมอาเซียน 2558” จัดโดยสมาคมอาเซียน – ประเทศไทย(ASEAN Association - Thailand)
ในเวทีดังกล่าว มีข้อมูลที่ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนซึ่งเป็นกลุ่มนักศึกษาจำนวน 2,170 คน จากมหาวิทยาลัยชั้นนำในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ เกี่ยวกับทัศนะคติและการตระหนักรู้เกี่ยวกับอาเซียน รวมทั้งช่องทางที่ทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้จักอาเซียนมาจากสื่อใดมาก/น้อยเรียงตามลำดับ ผลสำรวจปรากฏดังนี้
1.ทีวี 78.4 %
2.โรงเรียน 73.4 %
3.หนังสือพิมพ์ 70.7 %
4.หนังสือ 65.0 %
5. อินเตอร์เน็ต 49.9 %
6.วิทยุ 40.3 %
7.กีฬา 34.1 %
8.โฆษณา 31.6 %
9.เพื่อน 27.6 %
10.ครอบครัว 18.2 %
11. ท่องเที่ยว 13.3 %
12.ภาพยนตร์ 12.1%
13.เพลง 9.2 %
14.การงาน 6.1 %
จะเห็นว่า คนรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับอาเซียน จากสื่อทีวีมากที่สุด ขณะที่สื่ออินเตอร์เน็ตมีคนเข้าไปค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับอาเซียนอยู่เป็นอันดับที่ 5 คิดเป็นร้อยละ 49.9 ทั้งที่ปัจจุบัน อินเตอร์เน็ตเป็นสื่อที่คนรุ่นใหม่นิยมใช้อย่างมาก และเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนเรามากขึ้น
ดังนั้น จากผลสำรวจดังกล่าว สะท้อนอะไรบางอย่างได้หรือไม่ว่า ข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับอาเซียนในสื่ออินเตอร์เน็ตยังนำเสนอไม่น่าสนใจ หรืออาจมีรายละเอียดไม่มากพอ ทำไมคนจึงรับรู้ข่าวสารจากสื่ออินเตอร์เน็ตค่อนข้างน้อย
อย่างไรก็ตาม นายวิทวัส ศรีวิหค อธิบดีกรมอาเซียน ชี้ว่า ถึงแม้สื่อทีวี จะทำให้คนรู้จักและรับรู้ความเคลื่อนไหวของอาเซียนมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่ถามว่า มีความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของอาเซียนในการรวมเป็นหนึ่งสู่ความเป็นประชาคมได้มากน้อยแค่ไหน ก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนในเรื่องนี้ เพราะถึงแม้คนจะรู้จักอาเซียนจากการติดตามข่าวสารทางสื่อทีวีมาก แต่ในข้อเท็จจริงจะเห็นว่า สื่อดังกล่าวนำเสนอข่าวสารเกี่ยวกับอาเซียนน้อยมาก ดังนั้น จึงคาดได้ว่า คนอาเซียนรู้จักอาเซียนในลักษณะผิวเผินหรือแค่ได้ยินผ่านหูจากการโหมประชาสัมพันธ์เพียงบางช่วงบางเวลา เพียงแค่ให้ทราบความเคลื่อนไหว แต่ไม่เจาะลึกรายละเอียดและสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของ “อาเซียน”
อีกหนึ่งความเห็นที่มีต่อเรื่องนี้ คือ นายอัครพงษ์ ค้ำคูณ ผู้ช่วยคณบดี วิทยาลัยนานาชาติปรีดีพนมยงค์ มองว่า คนอาเซียนแต่ละประเทศจะมีเอกลักษณ์ที่คล้ายกันอยู่ประการหนึ่งคือ ถือความเป็นอัตลักษณ์ในวัฒนธรรมของตนเองเป็นใหญ่ ไม่มีใครยอมใคร จัดอยู่ในกลุ่มพวกอนุรักษ์นิยม เพราะถือว่า รากฐานเผ่าพันธุ์จากบรรพบุรุษเป็นสิ่งที่ต้องดำรงรักษาไว้ ใครจะมาเปลี่ยนแปลงหรือดัดแปลงไม่ได้ นี่จึงเป็นปัญหาอุปสรรคอีกข้อหนึ่งที่อาจยากต่อการหลอมรวมสู่ความเป็นประชาคมอาเซียน แล้วใครจะมาทลายกำแพงที่กั้นกรอบความคิดเหล่านี้ได้ ก็อยู่ที่สื่อมวลชนนั่นเอง ที่จะสร้างความรู้ความเข้าใจในความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรมในเชิงสร้างสรรค์
นายอัครพงษ์ ได้ยกกรณีพิพาทปราสาทเขาพระวิหารระหว่างไทย – กัมพูชา ว่า กรณีนี้ หากไทยเงียบตั้งแต่แรก ไม่ตอบโต้หรือไปเติมเชื้อ ปัญหาเขาพระวิหารก็ไม่ลุกลามบานปลาย ปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้ เป็นเพราะมีการโยงเอาประเด็นการเมืองไปเกี่ยวข้อง ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ไปหลากหลายมุม มีการอ้างอิงแผนที่กันหลายฉบับ โต้เถียงกันไปมา จนกลายเป็นปัญหาความมั่นคงระหว่างสองประเทศ ทั้งที่ในสถานที่จริงนั้น มีสักกี่คน ที่ลงไปสัมผัสและเห็นด้วยตาจริงๆ เพราะมันก็แค่เส้นแบ่งในแผนที่ แต่ประชาชนสองประเทศที่อาศัยอยู่ตรงจุดนั้น ก็ยังใช้ชีวิต ทำมาหากิน พึ่งพาอาศัยกันอย่างสงบสุข ปัญหาทั้งหลายเกิดขึ้นจากคนในเมืองหลวงของสองประเทศทั้งสิ้นที่ทะเลาะกันแล้วก็พลอยทำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ระหว่างรอยต่อสองประเทศต้องเดือดร้อน
“เมื่อเป็นเช่นนี้ สื่อก็ต้องตอบคำถามด้วยว่า มีส่วนหรือตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองสร้างความแตกแยกให้เกิดกับอาเซียนหรือไม่ หากใช่ ก็ต้องคิดต่อไปว่า บทบาทสื่อในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนนั้น ต้องมีทิศทางอย่างไร

สอดคล้องกับความเห็นของนายดนัย จันทร์เจ้าฉาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีซี คอนซัลแทนส์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง คอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด ที่มาเสนอแนะเกี่ยวกับเทคนิคการประชาสัมพันธ์เชิงสร้างสรรค์ โดยมองว่า อาเซียนเป็นชนชาติที่ไม่ยอมรับในความต่าง แบ่งพวกเรา พวกเขา และบางทีก็มี “พวกมัน” อยู่ในทัศนคติเชิงลบด้วย เพราะฉะนั้น ก็เป็นหน้าที่และเป็นโจทย์ให้สื่อฯ ต้องคิดว่า ทำอย่างไรที่จะพยายามผลักดันความต่างตรงนี้ให้ก้าวสู่การหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวได้

นายดนัย ยังคาดการณ์การบริโภคสื่อของคนอาเซียนในอนาคต ด้วยว่า สื่อแบบ individual media หรือสื่อประเภทส่วนบุคคล จะเข้ามามีอิทธิพลในชีวิตประจำวันมากขึ้น จะเห็นได้จาก ความนิยมติดต่อสื่อสารผ่าน hi5 ,facebook, twitter หรือแม้กระทั่งการส่ง sms แจ้งข่าวสารหรือประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่างๆ ที่ยิงตรงเข้าโทรศัพท์มือถือ ซึ่งได้ผลและเจาะกลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่าสื่ออื่นๆ ดังนั้น ทำอย่างไร ที่จะใช้สิ่งที่มีอยู่นี้ ให้เป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง

ดังนั้น การตั้งเป้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2558 จะบรรลุสู่เป้าหมายได้สวยงามมากน้อยเพียงใด ก็อยู่ที่วิชาชีพสื่อมวลชน ซึ่งเป็นหนึ่งวิชาชีพที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี จนกล่าวขานได้ว่า เป็นฐานันดร์ที่สี่ และสังคมก็ยังหวังว่า ความเที่ยงตรงและเป็นธรรมก็จะหาได้จาก "ฐานันดรที่ 4" ตลอดมา และตลอดไป

ที่มา : http://www.rbac.ac.th/site/index.php/welcome/article/131/216/en_US/

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

ทีวี+อินเทอร์เน็ตลูกผสมความบันเทิง




ทีวี+อินเทอร์เน็ตลูกผสมความบันเทิง
99.99% ของเครื่องรับโทรทัศน์ที่ใช้กันตามบ้านตามช่องเอาไว้รับชมรายการทีวี และดูวิดีโอ
 ผู้ผลิตทีวีคิดกันมานานแล้วว่าทำอย่างไรถึงจะเชื่อมทีวีกับอินเทอร์เน็ตเข้าด้วยกันได้


 คิดกันอยู่ไม่นาน ในที่สุด แอปเปิล อิงค์ ก็ส่งแอปเปิลทีวี กล่องเชื่อมต่อกับทีวีเพื่อเข้าชมรายการอินเทอร์เน็ตทีวีจากแหล่งต่างๆ อย่างยูทูบ รายการทีวีย้อนหลังจาก Netflix สั่งวิดีโอออนไลน์มาดูเรื่องละ 99 เซนต์ หรือราว 30 กว่าบาทไม่ต้องออกไปเช่านอกบ้าน
 นอกจากแอปเปิลทีวีก็ยังมีกูเกิลทีวี ที่จับมือกับพันธมิตรซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์หลายค่ายผลิตกล่องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับทีวีสำหรับรับชมรายการบันเทิงผ่านเครือข่ายบรอดแบนด์เช่นกัน
 นั่นเป็นความเคลื่อนไหวในต่างแดน ซึ่งรูปแบบการให้บริการยังจำกัดอยู่ในสหรัฐเป็นหลัก
 สำหรับคนที่ซื้อทีวีจอความละเอียดสูง (เอชดี) มาแล้ว แต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสได้ใช้งานคุณภาพจอคมชัดสูงเพราะสัญญาณทีวีที่ส่งผ่านอากาศยังเป็นความละเอียดต่ำ ตอนนี้เริ่มมีทางเลือกใหม่แล้ว
 ที่ผ่านมา ผู้ชมสามารถบอกรับเป็นสมาชิกกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตของไทยบางรายอย่าง ทรูวิชั่น หรือ 3 บีบี เพื่อรับชมรายการในรูปแบบเคเบิลทีวีความละเอียดสูง โดยเสียค่าบริการเป็นรายเดือน
  ปัจจุบันเริ่มมีกล่องอุปกรณ์เสริมสำหรับเชื่อมต่อทีวีเพื่อให้เข้าใช้งานอินเทอร์เน็ตวางจำหน่ายตามห้างไอทีหลายแห่ง หนึ่งในนั้นเป็นกล่องที่บริษัท มิกซ์ อินโนเวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด นำเข้ามา เพื่อให้เป็นอุปกรณ์มัลติมีเดียรวมทุกอย่างไว้ในกล่องเดียว
 อุปกรณ์รุ่นแรกที่บริษัทนำมาโชว์เมื่อสัปดาห์ก่อนคือ  รุ่น "มิกซี่ วี8"  ซึ่งผู้บริหารมองว่า อนาคตมีความเป็นไปได้ว่าอุปกรณ์ลักษณะนี้จะมาแทนเครื่องเล่นดีวีดี ที่นิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
 จุดเด่นของกล่องมิกซี่ วี8 คือ เป็นกล่องที่สามารถนำสายสัญญาณทีวีมาต่อเข้ากับกล่องเพื่อแปลงสัญญาณภาพความละเอียดปกติเป็นสัญญาณภาพแบบเอชดี เพื่อให้สมกับเงินที่ซื้อทีวี เอชดี แอลซีดี มาชม ขณะเดียวกันยังสามารถนำสายแลนจากกล่องอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์มาต่อเข้ากับมิกซี่ วี8 และต่อสายจากกล่องวี 8 ไปเข้าทีวีเพื่อใช้เข้าดูยูทูบ และเว็บทีวี ที่ถูกตั้งโปรแกรมล่วงหน้าไว้ในกล่อง
 นายชินนริทธิ์ โชติสุริยพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิกซ์ อินโนเวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด เชื่อว่า อุปกรณ์ลักษณะนี้จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานทั่วไปได้ เนื่องจากระบบถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่าย ประกอบกับคุณสมบัติภาคบันเทิงหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ดูหนัง ฟังเพลงที่เชื่อมต่อกับฮาร์ดดิกส์พกพา ดูไฟล์รูปภาพจาก SD การ์ด หรือแม้กระทั่งใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านยูเอสบีไวไฟ ดึงข้อมูลคลิปวิดีโอจากยูทูป ฟังเพลงออนไลน์ อัพเดทพยากรณ์อากาศ ได้โดยตรงจากหน้าจอทีวี
 เขามองว่านั่นคือ สิ่งที่คนยุคใหม่กำลังมองหา ในราคา 6,900 บาท พร้อมโปรโมชั่นจูงใจที่เชื่อว่าตรงกับความต้องการของคอบันเทิง
 อนาคตบริษัท มิกซ์ อินโนเวชั่น ตั้งเป้าที่จะพัฒนาเนื้อหาความบันเทิงผ่านช่องมิกซ์แชลแนล พร้อมทั้งจับมือกับพันธมิตรพัฒนาเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา รวมถึงนำเข้าอุปกรณ์เชื่อมต่อในรุ่นอื่นๆ เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเพิ่มเติม
 แต่ถ้าอยากได้อุปกรณ์สารพันบันเทิงในเครื่องเดียวโดยไม่ต้องต่อสายกันระโยงระยาง อดใจรอทีวีอินเทอร์เน็ต ซึ่งผู้ผลิตทีวีหลายค่ายเริ่มปักธงกันแล้ว


พักผ่อนไม่เพียงพอ No More Tear

Audio พักผ่อนไม่เพียงพอ
No More Tear
new single 2012
genie records , Mango Team



ที่มา : http://www.youtube.com/watch?v=Qt2jQYuBY1g&feature=related

iPhone5


เปิดตัวแล้ว!ไอโฟน5




สิ้นสุดการรอคอยกับไอโฟนรุ่นใหม่ ปี 2012 ที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ไอโฟน 5 (iPhone 5)

          13 ก.ย. 55  เปิดตัวแล้วอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 12 ก.ย. ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น (ประมาณ 24.00 น. วันที่ 13 ก.ย. ตามเวลาประเทศไทย) ที่ Yerba Buena Center for the Arts รัฐซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา กับ iPhone รุ่นใหม่ ปี 2012 ที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ไอโฟน 5 (iPhone 5) ซึ่งเปิดตัวพร้อมผลิตภัณฑ์อื่นๆ ด้วย ได้แก่ ไอพอด ทัช เจน 5 (iPod Touch Gen 5) และ นิว ไอพอด นาโน (iPod Nano) โฉมใหม่
          ไอโฟน 5 มาพร้อมหน้าจอขนาดใหญ่ขึ้น 4 นิ้ว (จากเดิม 3.5 นิ้ว) แบบ Retina display ความละเอียด 640 x 1136 พิกเซล (326 ppi) มีความบางเพียง 7.6 มิลลิเมตร ซึ่งบางกว่า ไอโฟน 4 เอส 18% น้ำหนัก ไอโฟน 5 อยู่ที่ 112 กรัม เบากว่า ไอโฟน 4 เอส 20% 

          ไอโฟน 5 ใช้ชิปเซ็ท Apple A6 (มีขนาดเล็กกว่า Apple A5 ถึง 22%) แบบ Quad-core Processor (ประมวลผลเร็วขึ้น 2 เท่า ระบบประมวลผลภาพกราฟฟิค เร็วกว่าเดิม 2 เท่าเช่นกัน) กล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมฟีเจอร์ใหม่ สามารถถ่ายภาพแบบพาโนราม่า 240 องศาที่ความละเอียดของภาพสูงสุด 28 ล้านพิกเซลได้ ปรับปรุงประสิทธิภาพการถ่ายภาพในที่แสงน้อย (Low light) ได้ดีขึ้น ลด noise และชัตเตอร์ได้เร็วขึ้น 40% 

          ไอโฟน 5 มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการณ์ iOS 6 ที่เพิ่มความสามารถ Siri ให้รองรับคำสั่งเพิ่มมากขึ้น เปลี่ยนจาก Google Maps มาใช้ Apple Maps แทน ใช้งาน FaceTime ผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือได้ เพิ่มแอพพลิเคชั่น Passbook แหล่งรวม boarding pass , การ์ดของขวัญ และคูปองส่วนลด ในที่เดียว ฯลฯ

          สำหรับตัวเครื่อง ไอโฟน 5 กรอบด้านหลังทำมาจาก anodized aluminium (วัสดุเดียวกับ MacBook) ด้านบนและด้านล่าง ไอโฟน 5 (สีขาว) ทำมาจาก ceramic glass ส่วน ไอโฟน 5 (สีดำ) ทำมาจาก pigmented glass ซึ่ง แอปเปิ้ล ระบุว่า วัสดุที่นำมาผลิตไอโฟน 5 อย่าง anodized aluminium เป็นวัสดุแบบรีไซเคิล ยึดหลักมาตรฐาน BFR-free และ PVC-free ไม่เป็นอันตรายต่อธรรมชาติแน่นอน

          ไอโฟน 5 ใช้ nano-SIM card ที่เล็กลงกว่าเดิมถึง 44% ใช้ Dock connector ขนาดเล็กลงเหลือ 8-pin (เดิม 30-pin) แอปเปิ้ลจึงเปิดตัว Lightning to 30-pin Adapter สำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริม ในราคา 29 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 900 บาท และย้ายช่องเสียบหูฟังไปอยู่ด้านล่าง




"ดารา-นักการเมือง"กลุ่มมีอิทธิพลสูงในสังคมเฟซบุ๊ก


ผลสำรวจพบ"ดารา-นักการเมือง"กลุ่มมีอิทธิพลสูงในสังคมเฟซบุ๊ก

ผลสำรวจพบ "วู้ดดี้-บอดี้สแลม-นายกฯ อภิสิทธิ์" มีอิทธิพลสูงสุดในสังคมออนไลน์ เป็นบุคคลที่ผู้มีบัญชีเฟซบุ๊กต้องการเป็นเพื่อนมากที่สุด

 นายสุทธิพันธ์ สุทัศน์ ณ อยุธยา ผู้บริหารสูงสุด สายงานวิจัย บริษัทแอท แวนเทจ เปิดเผยว่า บริษัทได้จัดทำผลวิจัยในหัวข้อ "ใครมีอิทธิพล...บนสังคมเฟซบุ๊ก" โดยทำการสำรวจบุคคลที่ใช้ชีวิตอยู่ในย่านธุรกิจ ซึ่งเป็นกำลังขับเคลื่อนกระแสสังคมบนถนนอโศก จำนวน 339 คน ในหลากหลายกลุ่มอาชีพ  ระดับรายได้ต่ำกว่า 7,500 บาทถึงมากกว่า 1.6 แสนบาทต่อเดือน พบว่าบุคคลในย่านธุรกิจรู้จัก เฟซบุ๊ก 100%  และส่วนใหญ่หรือ 70% มีบัญชีเฟซบุ๊กเป็นของตัวเอง

นอกจากนี้ พบว่าผู้ที่มีบัญชีเฟซบุ๊ก อายุต่ำกว่า 36 ปี อยู่ในวัยเรียนและวัยทำงานมีระดับการศึกษาปริญญาตรี ให้ความสนใจอยากเป็นเพื่อนกับคนดังในทุกวงการ ทั้งดารา นักแสดง พิธีกร นักร้อง นักการเมือง หรือคิดเป็น 66% ขณะที่อีก 34% ไม่สนใจเป็นเพื่อนกับคนดังในวงการบันเทิง แต่ใช้ช่องทางสังคมออนไลน์เพื่อติดต่อเพื่อนคนในกลุ่ม ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีอายุมากกว่า 37 ปีขึ้นไป มีการศึกษาสูงที่จบการศึกษาในระดับปริญญาโท และมีตำแหน่งงานที่อยู่ในระดับผู้บริหาร

 ทั้งนี้ จากการสำรวจผู้ที่ได้รับความนิยมสูงสุดพบว่า กลุ่มตัวอย่างต้องการเป็นเพื่อในเฟซบุ๊กกับบุคคลในสาขาดารา นักแสดงและพิธีกร และพบว่า วู้ดดี้-วุฒิธร มิลินทจินดา พิธีกรรายการวู้ดดี้ เกิดมาคุย ได้รับความสนใจมากที่สุด 41% รองลงมาได้แก่ พอลล่า  เทเล่อร์  38% ชมพู่-อารยา เอฮาร์เก็ต 34% ขณะที่ศิลปินนักร้องนั้น วง “บอดี้สแลม” ได้รับความสนใจจากคนในสังคมออนไลน์อยากเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กมากที่สุด 48%  รองลงมาคือ กรู๊ฟไรเดอร์ส 31%  แทททู คัลเลอร์ 31% 

 ส่วนในสาขานักการเมือง พบว่า คนในย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ ที่เล่นเฟซบุ๊ก ต้องการเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีมากที่สุด 83%   รองลงมาคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 27%  นายกรณ์ จาติกวณิชย์ 16%

 "จากผลวิจัยจะเห็นได้ว่ากลุ่มคนดัง ทั้งดารา นักแสดง นักร้อง กระทั่งนักการเมืองมีอิทธิพลต่อความสนใจของสังคมเฟซบุ๊ก โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีอายุต่ำกว่า 36 ปี ดังนั้นรูปแบบการสื่อสารในสังคมออนไลน์ที่จะมีประสิทธิภาพสูงสุด ควรดึงบรรดาเหล่าคนดังที่อยู่ในความสนใจของผู้ใช้เฟซบุ๊ก มาร่วมสร้างกระแสให้แก่สินค้าและองค์กร เพื่อสร้างโอกาสในการแนะนำผลิตภัณฑ์" นายสุทธิพันธ์กล่าว

เรื่องจริง


เรื่องจริง ซิงเกิ้ลพิเศษจาก Sin (singular)
Written by Sin (Singular)
Produced by โซ่ ETC.
เพลงประกอบภาพยนตร์ "คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์"





ที่มา : http://www.youtube.com/watch?v=qnGTC8EUUes&feature=related

คลิปหลุด… คลิปฉาว สะท้อนสารพัดความเสื่อมโทรมในสังคมไทย

คลิปหลุด… คลิปฉาว สะท้อนสารพัดความเสื่อมโทรมในสังคมไทย


คลิปหลุด… คลิปฉาว สะท้อนสารพัดความเสื่อมโทรมในสังคม
Mthainews: ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ข่าวพาดหัว “สังคมเสื่อม” โผล่ให้เห็นอยู่เรื่อยมาในสื่อต่างๆ โดยเฉพาะผู้ที่ตกเป็นข่าวนั้น เป็นเด็กและเยาวชนที่อยู่ในวัยเรียนแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปลือยเต้า เปลือยอก มีเพศสัมพันธ์ ตบตี ทะเลาะเบาะแว้ง และเรื่องราวเหล่านี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในสังคม แต่ทว่า เมื่อโด่งดังขึ้นมา ก็หนีไม่พ้นหลักฐานที่เป็น คลิปวีดิโอ ที่บันทึกเหตุการณ์ เห็นหน้า กิริยาอาการแบบชัดเจน
จะว่าไปแล้วจะไปโทษเทคโนโลยีไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะเทคโนโลยี ช่วยการสื่อสารได้หลากหลายมีติ ทั้งภาพและเสียง แต่ทว่า เมื่อพฤติกรรมเสื่อมทรามเกิดขึ้นในสังคม นั่นก็เป็นนัยบอกว่า สิ่งเหล่านี้ต้องเร่งแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนไม่ว่าจะเป็น
คลิปตบตี จากเด็กนักเรียน นักศึกษา ทั้งที่อยู่ในชุดนักเรียน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม การตบตี ทำร้ายร่างกายย่อมมีความผิด แต่กฎหมายก็ยังไม่รุนแรงพอที่จะทำให้คนพวกนี้เกรงกลัว ท้าต่อย ตบตีกันอยู่เสมอ ซึ่งเรื่องเหล่านี้จะปรากฎให้เป็นเรื่องธรรมดาตามสถานศึกษา แต่เมื่อมีภาพหลักฐานขึ้นมา ก็บ่งชี้ว่า การศึกษาไม่ช่วยอะไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคลิปด่าตอบโต้กันรุนแรงระหว่างนักเรียนและครูอาจารย์ที่ถูกเผยแพร่ออกมาเมื่อต้นสัปดาห์ ก็เป็นเรื่องที่น่าตกใจเพราะแสดงให้เห็นว่า ปัจจุบันนักเรียนให้ความเคารพครูอาจารย์น้อยลง หรืออย่างไร แต่นั่นก็เป็นเพียงบางส่วนที่เกิดขึ้น
เพราะต้องกลับย้อนมองฝ่ายครูอาจารย์ด้วยว่า ความเป็นแม่พิมพ์ของชาตินั้น มีคุณงามความดี อบรมสั่งสอน เป็นแบบอย่างที่ดีให้เด็กได้เคารพ ยกมือไหว้หรือไม่ ที่ผ่านมามีเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดจากครูอาจารย์ลงโทษเด็กอย่างรุนแรง ใช้มาตรการที่เข้มจนเกินไปทำร้ายร่างกายนักเรียนได้รับบาดเจ็บบอบช้ำ และที่เป็นข่าวล่าสุด ครูใหญ่ถึงขนาดตบหน้า ขู่ให้เด็กกะเทยแก้ผ้าหากไม่หยุดพฤติกรรมเป็นตุ๊ด ผิดเพศ จนเด็กกินยาพาราเซตามอล พยายามฆ่าตัวตาย อย่างนี้ไม่ใช่ครูดีในสถาบัน  ครูบางคนลงมือข่มขืนลูกศิษย์ก็มีให้เห็น
คลิปฉาว มีเซ็กส์ ของเด็กในวัยเรียน ที่อื้อฉาวเป็นข่าวครึกโครม กับเด็กนักเรียนหญิงราชบุรีวัยเพียง 14 มีเซ็กส์กับนักเรียนชายในโรงหนัง ทว่าถ้าไม่มีกล้องจับภาพเอาไว้ก็คงไม่เกิดเรื่อง แต่ด้วยความที่เป็นสถานที่สาธารณะ ทำเรื่องบัดสีอย่างที่คนโบราณเขาบอก ผลสุดท้ายก็ต้องอับอายกลายเป็นข่าวแทบทุกสื่อ ไม่นับคลิปที่ว่อนเน็ตออกไปน่าเสียใจที่เห็นในทุกอิริยาบท
ไม่ต่างจากกลุ่มเด็กนักเรียน เพชรบุรีกลุ่มหนึ่ง เปิดห้องพักภายในโรงแรมเพื่อมีเพศสัมพันธ์แบบเซ็กส์หมู่ หรือสวิงกิ้งในทุกๆเช้า พบเด็กหญิงอายุ 14 ปี 2 คนอยู่ภายในม่านรูด เป็นข่าวที่น่าเสียใจโดยเฉพาะผู้ปกครอง รู้ที่ไหนอายถึงนั่น หลายคนจึงอยากให้ปัญหานี้เป็นวาระแห่งชาติที่ต้องเร่งแก้ไข เพราะผู้ใหญ่หลายคนต้องคิดหนัก หากจะมีลูกสักคน จะต้องเผชิญกับสังคมที่อบายมุขรอบตัว ไหนจะมีโรคจิตชุกชมในเมืองกรุง เป็นเรื่องที่น่าเศร้าหากลูกสาวถูกคนบ้ากามข่มขืน หรือลูกชายไปข่มขืนใครเข้า คนเสียใจคือคนที่เป็นพ่อและแม่ ที่แทบจะเอาปี๊บมาคลุมหัว
เมื่อย้อนกลับมามองต้นเหตุของปัญหา มีหลายปัจจัยทำให้เด็กไทยบางส่วนขาดความยับยั้งชั่งใจ โดยเฉพาะสื่อที่หลากหลายทั้งอินเตอร์เน็ต ทีวี ที่มีทั้งพฤติกรรมเลียนแบบ สิ่งยั่วยุ อย่างเช่นสาวเปลือกอกวาดภาพในทีวี ก็เป็นสิ่งที่สังคมยังเห็นชอบชั่วดี วิพากษ์วิจารณ์กันครึกโครม หากร่วมมือกันแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะสถาบันใกล้ตัวอย่าง ครอบครัว สำคัญที่สุดในการสอดส่องดูแลพฤติกรรม รวมไปถึงการนำไปสู่วาระแห่งชาติ ที่ต้องแก้ไขปัญหากันทั้งระบบ

สำนึกของดารากับสื่อบันเทิงไทย


สำนึกของดารากับสื่อบันเทิงไทย




ขอบคุณภาพจาก เดลินิวส์
“สุนัขขี้เรื้อนเลียปากเรา เราก็ไม่เลียปากมันคืนหรอกนะคะ”
“ถ้าว่างนัก ก็ไปเล่นกับเด็กข้างบ้านเถอะค่ะ หนูไม่มีเวลาเล่นด้วย หรือถ้าไม่มีอะไรทำจริงๆ ก็ไปแต่งหญิงก็ได้”
คำพูดที่ยกมานี้ไม่ได้ตัดตอนมาจากบทละครสถานีโทรทัศน์ที่ไหนทั้งสิ้น แต่เป็นถ้อยคำที่หลุดออกจากปากดาราสาวสวยแนวหน้าของวงการบันเทิงไทยหลังเกิดเหตุวิวาทะกับบริษัทออแกไนเซอร์เรื่องค่าตัวจ่ายไม่ครบตามสัญญา จนลุกลามกลายเป็นเรื่องดาราหลีกเลี่ยงภาษีเขย่าขวัญบุคคลในวงการบันเทิงทุกหย่อมหญ้าอยู่ ณ ขณะนี้
ยิ่งไปกว่านั้นระหว่างที่กำลังเป็นข่าวครึกโครม ดาราสาวท่านนี้ยังได้ลงรูปตัวเองในอินเทอร์เน็ต ขณะถ่ายกับลูกชายอดีตปลัดกระทรวงการคลังพร้อมคำบรรยายว่า “อย่ามีเรื่องกับพวกเรานะเว้ยยยยย” ไม่มีใครทราบถึงเจตนาที่แท้จริงของเจ้าหล่อน แต่คนส่วนใหญ่เดาว่าคงต้องการปรามคู่กรณีว่า “อย่าแหลม”
ความจริงแล้ว วาจาเผ็ดร้อนและพฤติกรรมกร่างแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเจ้าตัวเคยประกาศก้องว่า “ไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีของเยาวชนหรือเป็นแฟนต้ายุวทูตที่ต้องคำระมัดระวังคำพูด”
สิ่งที่น่าแปลกคือเธออยู่ในวงการนี้มานานกว่าสิบปี ไม่มีใครบอกเลยหรือว่าดาราเป็นบุคคลสาธารณะที่อาจเป็นตัวอย่างที่ดีของประชาชนโดยเฉพาะเยาวชนอนาคตของประเทศได้ คำให้สัมภาษณ์ของเธออาจทำให้เด็กจำนวนไม่น้อยคิดและเชื่อว่าการเรียกบุคคลอื่น โดยเฉพาะฝ่ายตรงข้ามเป็นสุนัขขี้เรื้อนนั้นเป็นเรื่องธรรมดา
ยิ่งไปกว่านั้นการลงรูปตัวเองกับลูกหลานคนใหญ่คนโตหรือนักการเมืองบุญหนักศักดิ์ใหญ่ทั้งหลายสะท้อนค่านิยมที่น่ารังเกียจมากในสังคมไทยคือ เมื่อมีเรื่องมีราวเกิดขึ้น ผิดถูกอย่างไรก็อีกเรื่องหนึ่ง ทางที่ดีเราต้องอิงผู้ใหญ่ไว้ก่อนปลอดภัยดีที่สุด
นอกจากสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมของดาราแล้ว การสาดโคลนใส่กันผ่านสื่อระหว่างดาราสาวกับคู่กรณียังตอกย้ำให้เห็นสิ่งที่ขาดหายไปจากการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน โดยเฉพาะสื่อบันเทิงทั้งหลายที่ตอนนี้มีเป็นร้อยๆสำนัก เวลาสัมภาษณ์ทีแหล่งข่าวแทบจะต้องเอาไมโครโฟนทัดหูไว้ด้วยข้างละอัน
ตอนนี้ดูเหมือนว่านักข่าวบันเทิงที่ดีคือคนที่ตั้งคำถามให้แหล่งข่าวพูดออกมาจากอย่างเผ็ดร้อนที่สุด แล้วคำพูดที่เผ็ดร้อนเหล่านั้นก็จะกลายเป็นพาดหัวข่าวหรือถูกออกอากาศซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอก ย้ำให้เยาวชนผู้เสพสื่อเกิดความเคยชินว่าเป็นเรื่องธรรมดา หรือ ชื่อด้วยซ้ำไปว่า “ยิ่งแรง ยิ่งดี”
นักข่าวหรือสื่อบันเทิงก็เหมือนลืมหน้าที่สำคัญของตัวเองคือ ให้สาระแก่คนชมหรือผู้เสพสื่อ ไม่ใช่ “เอามันส์” อย่างเดียว อย่างกรณีที่เกิดขึ้นแทบจะไม่มีสื่อ(บันเทิง) สำนักไหนไปทำรายงานพิเศษเรื่องการเลี่ยงภาษีของดารา เป็นต้น แต่ละวันสื่อแต่ละสำนักมุ่งไปหรือไปดักถามว่า “ว่ายังไงต่อ”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือว่า นักข่าวบันเทิงสมัยนี้ไม่ต้องทำการบ้านทั้งก่อนและหลังทำข่าว งานสบายๆคือถือไมโครโฟนจูงมือตากล้อง ไปเจอแหล่งข่าวคือ ถามเลยว่า “น้องจะว่าอย่างไรคะ ฝ่ายโน้นว่าอย่างนี้...” และในวันเดียวกันก็อีกอีกฝ่ายหนึ่ง ก็ถามคำถามว่า “น้องจะว่าอย่างไรคะ อีกฝ่ายหนึ่งว่าอย่างนี้...” เสร็จเรียบร้อยก็ไปตัดต่อหรือเขียนข่าวส่ง แค่นี้ก็ได้ข่าวชิ้นใหญ่แล้ว จบไปหนึ่งวัน รุ่งขึ้นก็ทำแบบเดิม เรียกว่า หากินกับการ “เสี้ยม” ก็ไม่น่าจะผิด
ที่เลวร้ายกว่านั้นคือ นักข่าวบันเทิงปวารนาตัวเป็นกองเชียร์ด้วยเวลาสัมภาษณ์แหล่งข่าว เวลาดาราพูดแรงๆออกมา กองทัพนักข่าวที่รายรอบอยู่มักจะส่งเสียงปรบมือและหัวเราะหัวใคร่กันอย่างสนุกสนาน บรรยากาศการให้สัมภาษณ์ไม่ต่างจากเพื่อนฝูงตั้งกองนินทาใครสักคนที่ไม่อยู่ ณ ที่นั้น  
จริงอยู่ดารากับนักข่าวเจอหน้ากันบ่อยๆ สัมภาษณ์กันบ่อยๆ ก็อาจจะจำหน้ากันได้ จนมีความสนิทสนมกันระดับหนึ่ง แต่อย่าลืมว่าขณะนั้นต่างฝ่ายต่างมีสถานะที่ไม่ใช่เพื่อนหรือคนคุ้นเคย แต่เป็นสื่อมวลชนกับแหล่งข่าว ซึ่งแต่ละฝ่ายก็มีหน้าที่ต่อสังคมด้วยกันทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น ถ้ารักจะเป็นนักข่าวบันเทิงอย่ามักง่าย ทำงานแบบไม่ต้องทำการบ้านจนถนัดเรื่องเดียวคือ “เสี้ยมเขาควายให้ชนกัน”  ตลอดจนอย่าถือสนิทแหล่งข่าวจนเสียความเป็นกลาง นักข่าวที่ไม่เป็นกลางก็คือสื่อมวลชนไร้วิญญาณนี่เอง
ขณะเดียวกันดาราก็อย่าตกเป็นเหยื่ออารมณ์ของตัวเองหรือปลิวไปตามลมปากชักพาของผู้สื่อข่าว ขอให้เตือนตัวเองด้วยโคลงโลกนิติบทนี้
ก้านบัวบอกลึกตื้น                              ชลธาร
มารยาทส่อสันดาน                             ชาติเชื้อ
โฉดฉลาดเพราะคำขาน                     ควรทราบ
หย่อมหญ้าเหี่ยวแห้งเรื้อ                   บอกร้ายแสลงดิน
ไม่ใช่เยาวชนดีเด่นก็เป็นตัวอย่างที่ดีแก่เยาวชนได้ครับเพราะเยาวชนรักและศรัทธาในตัวคุณ อย่าให้ศรัทธานี้สูญเปล่าเลยครับ
น่าเสียดาย

คุณสมบัติของ ‘ผู้สื่อข่าว’ ที่ดี


คุณสมบัติของ ‘ผู้สื่อข่าว’ ที่ดี

1)  การเป็นผู้มีบุคลิกอยากรู้อยากเห็น (Curiosity ) ผู้สื่อข่าวอาจเปรียบเทียบได้กับนักสืบ คือ เมื่อมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นย่อมมีวามอยากรู้อยากเห็น สงสัย และสนใจในรายละเอียดต่าง ๆ ของข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ

2)  การเป็นคนช่างสังเกต (observance) ผู้สื่อข่าวต้องเป็นคนช่างสังเกตในรายละเอียดปลีกย่อย มีความรอบคอบ พิถีพิถันในการสังเกตรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ละเลยหรือมองข้ามรายละเอียดหลักหรือสำคัญ

3)  การมีความไวต่อข่าว (Nose for News) ผู้สื่อข่าวที่ดีควรเป็นผู้ที่มีความสามารถพิเศษในการรับรู้ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบด้าน เปรียบได้กับผู้มีประสาทสัมผัสที่หก (Sixth Sense) คือ สามารถที่จะคาดการณ์ได้ว่าน่าจะเกิดเหตุการณ์ที่นำไปสู่การเป็นข่าวได้ หรือมีทักษะที่จะรับทราบได้อย่างรวดเร็วว่ามีเหตุการณ์อะไรขึ้น

4)  การเป็นผู้ที่มีความอดทน (Endurance) ผู้สื่อข่าวต้องเป็นผู้ที่มีความอดทนสามารถทำงานได้ในทุกสถานการณ์ เนื่องจากงานสื่อข่าวเป็นงานที่ทำไม่เป็นเวลา ไม่ทราบกำหนดเวลาที่แน่นอนของการปฏิบัติหน้าที่ว่าจะเริ่มต้นหรือสิ้นสุดลงเมื่อใด ต้องทำงานแข่งกับเวลา มีเส้นตาย (Deadline) หรือกำหนดส่งต้นฉบับคอยกำกับการทำงาน

5)  การเป็นผู้ที่มีจินตนาการ (Imagination) ผู้สื่อข่าวต้องเป็นผู้ที่มีจิตนาการเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงปลีกย่อยในแต่ละประเด็นของเหตุการณ์เข้าด้วยกัน

6)  มีความกล้า (Courage) ผู้สื่อข่าวที่ดีต้องเป็นผู้ที่มีความกล้าเสี่ยงกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากธรรมชาติ บุคคลที่เกี่ยวข้องกับข่าว เหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงในขณะปฏิบัติหน้าที่สื่อข่าว และกล้าที่จะยืนหยัดนำเสนอในสิ่งที่ถูกต้องและเป็นจริงไปรายงานสูการรับรู้ของสาธารณชน

7)  การเป็นผู้มีความรอบรู้(knowledge ability) ผู้สื่อข่าวต้องเป็นผู้ที่มีความรอบรู้ เพราะผู้ที่จะประกอบอาชีพผู้สื่อข่าวต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ รอบด้าน

8)   การเป็นผู้ที่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีเนื่องมาจากผู้สื่อข่าวต้องปฏิบัติงานด้วยการติดต่อกับบุคคลหลากหลายประเภท

9)  มีความรับผิดชอบและตรงต่อเวลาผู้สื่อข่าวต้องมีความรับผิดชอบต่อการนำเสนอข่าวที่ถูกต้อง ครบถ้วน มีประโยชน์ ช่วยยกระดับรสนิยมและจิตใจของประชาชนให้สูงขึ้น รวมถึงมีความสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมโดยส่วนรวม

10)  มีความสามารถในการรักษาหรือปกปิดความลับ เนื่องจากงานสื่อข่าวเป็นงานที่ต้องอาศัยแหล่งข่าวในการให้ข้อมูลข้อเท็จจริง

11)  มีความสามารถในการทำงานอย่างรวดเร็วและถูกต้อง เนื่องจากงานสื่อข่าวเป็นงานที่ต้องแข่งกับเวลา

12)  มีไหวพริบปฏิภาณ

ที่มา : http://th-th.facebook.com/notes/jr-arsa/%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B5/403532303009257

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

นาฬิกาเรือนเก่า Palmy

นาฬิกาเรือนเก่า Palmy
คำร้อง ตรัย ภูมิรัตน / ทำนอง รุ่งโรจน์ ผลหว้า /เรียบเรียง รุ่งโรจน์ ผลหว้า
Digital Download *1230555

ด้วยดนตรีของเพลงนี้ มีเสียงเหมือนเสียงนาฬิกาตุ้มเหล็ก เลยถูกหยิบมาเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนเนื้อเพลง ที่เปรียบความรักครั้งเก่าเหมือนนาฬิกาเรือนเก่า คนที่ยังลืมความรักครั้งเก่าไม่ได้ก็เหมือนคนที่ยังยึดติดใช้ชีวิตกับอยู่กับช่วงเวล­าเก่าๆที่เคยมีความสุขโดยได้ บอย ตรัย ภูมิรัตน มาแต่งเนื้อร้องให้เป็นเพลงช้าเพลงที่2ในอัลบั้ม 5 (Five) ที่ทำเป็นมิวสิกวิดีโอโดยเพลงนี้ถูกตีความออกมาเป็นหนังรักแนวซาบซึ้งปนหลอน กับความสูญเสียที่มากกว่าคำว่าเลิกกัน แต่เป็นการสูญเสียแบบไม่มีวันกลับมาได้ จิม โสภณ ศักดาพิศิษฏ์ ผู้กำกับร้อยล้าน จากลัดดาแลนด์ ทั้งเขียนบทและกำกับ นำแสดงโดยปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม


ที่มา : http://www.youtube.com/watch?v=W_NT7IaK9V0&feature=relmfu

รายงานข่าวอย่างไร ไม่ตกเป็นเป็นจำเลย


รายงานข่าวอย่างไร ไม่ตกเป็นเป็นจำเลย



การรายงานข่าวของสื่อมวลชนในปัจจุบัน เข้าข่ายการละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะกรณีเด็กและเยาวชน ทำให้สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย เรียกร้องให้สื่อมวลชนเคารพกฎหมายอย่างเคร่งครัด
สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย จัดสัมมนาในหัวข้อ "รายงานข่าวอย่างไร ไม่ตกเป็นจำเลย" เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมาย ในการรายงานข่าวของสื่อมวลชน เนื่องจากการเสนอข่าวในปัจจุบันเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่บ่อยครั้ง

นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการบริหาร สถาบันอิศรา กล่าวว่า ปัจจุบันการรายงานข่าวกรณีเกี่ยวกับเด็กและเยาวชน มีความเสี่ยงที่จะเข้าข่ายการละเมิดสิทธิฯ มากที่สุด เนื่องจากมีกฎหมายคุ้มครองหลายฉบับ เช่น พรบ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีการพิจารณาคดี พ.ศ.2553, ประมวลกฎหมายอาญา และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่ที่ผ่านมากฎหมายเหล่านี้ ยังไม่เคยถูกบังคับใช้กับสื่อมวลชนอย่างเคร่งครัด ทำให้ยังคงมีการกระทำผิดอยู่บ่อยครั้ง

นายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ ประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ด้านกฎหมาย และการปฎิบัติที่ไม่เป็นธรรม คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แสดงความไม่เห็นด้วย กรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐจัดการแถลงข่าวจับผู้ต้องหา และอนุญาตให้สื่อมวลชนบันทึกภาพการทำแผนประกอบคำรับสารภาพ เพราะทั้ง 2 กรณี จะทำให้ผู้ต้องหาตกเป็นจำเลยของสังคม

สอดคล้องกับนายเจษฏา อนุจารี สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย เรียกร้องให้สื่อมวลชนเคารพกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะแม้ว่าสื่อจะมีเสรีภาพในการนำเสนอข่าวสาร แต่ก็จำเป็นต้องไม่ละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น
รองประธานสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้สภาวิชาชีพฯ จะไม่มีอำนาจดำเนินคดีตามกฎหมายต่อสื่อมวลชน แต่หากพบการกระทำที่ผิดจริยธรรม จะออกคำเตือนและคำแนะนำ เพื่อให้ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงให้ถูกต้อง ซึ่งถือเป็นวิธีการกำกับดูแลสื่อด้วยกันเองอีกรูปแบบหนึ่ง

และหากประชาชนพบเห็นการนำเสนอข่าวที่ไม่เหมาะสม หรือผิดกฎหมาย ก็สามารถร้องเรียนได้ที่สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ได้เช่นกัน

ที่มา : http://news.voicetv.co.th/thailand/12171.html

LADY :)




เพลง Lady 25 hours

สังกัด: บีลีฟ เรคคอร์ด (Believe Records)
สมาชิกในวง
"แหลม" สมพล รุ่งพาณิชย์ (ร้องนำ)
"โฟร์" ประทีป สิริอิสสระนันท์ (กีต้าร์)
"ปู๋" ปิยะวัฒน์ มีเครือ (กีต้าร์)
"บัง" เอกศิริ กำบังภัย (เบส)
"จ๊อบ" กฤตพงษ์ สกุลนามอเนก (กลอง)

ซิงเกิ้ลเพลง "Lady"
เพลงที่ผู้หญิ้ง ผู้หญิง ที่สุดจาก 25 hours อีกหนึ่งบทเพลงพิเศษที่คุณจะลืมไม่ลง
"Lady" เพลงใหม่ล่าสุดกับโปรเจคต์สุดพิเศษจาก 25 hours
กับสีสันของจังหวะดนตรีในรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยได้ยินจาก 25 hours มาก่อน
ด้วยบรรยากาศเพลงที่มีส่วนผสมของดนตรี Disco ในช่วงปลายยุค 70
ที่บรรยายถึงเสน่ห์และความพิเศษที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวของผู้หญิง ที่สามารถทำให้ผู้ชายแทบละลายแค่เพียงครั้งแรกที่ได้เจอ นอกจากนี้ยังมีประโยคเนื้อร้องเด็ดๆ ที่พร้อมจะทำให้ผู้หญิงทุกคนบนโลกใบนี้รู้สึกเหมือนบินได้ ประกอบกับลูกเล่นในการร้องที่เป็นเอกลักษณ์
ซึ่งทุกสิ่งคือส่วนประกอบของการสร้างสรรค์แบบ 25hours ที่จะทำให้ทุกคนรู้สึกถึงเพลงที่แปลกใหม่อยู่เสมอ


ที่มา : http://www.youtube.com/watch?v=X4sJii45v8M

ข่าวคืออะไร

        ข่าวคือ ?

        ข่าว คือเหตุการณ์ ข้อเท็จจริง และข้อคิดเห็นที่ได้รับการรายงานเป็นสิ่งที่คนทั่วไปให้ความสนใจ เพราะถ้าเหตุการณ์ที่ถึงแม้ว่าจะมีคนสนใจมากเพียงใดแต่ไม่ได้รับการรายงานก็ไม่ถือว่าเป็นข่าว หรือว่าข่าว จะเป็นสิ่งใหม่ๆ หรือขอ้มูลใหม่ๆ ที่มีเนื้อหาสาระและประโยชน์ แต่ยังไม่เป็นที่รู้จัก

         ข่าว หรือ คำว่า NEWS ในภาษาอังกฤษจำแนกได้ดังนี้
N-NORTH
E-EAST
W-WEST
S-SOUTH

          ดังนั้นข่าวจึงมีความครอบคลุมทุกพื้นที่ทุกอาณาเขตของโลกและเป็นที่สนใจนอกจากนั้นยังต้องได้รับการรายงานอีกด้วย
          องค์ประกอบของข่าวมีดังนี้
1.ความรวดเร็ว ข่าวจะต้องเป็นเหตุการณ์ที่มีความรวดเร็วในการนำเสนอและเป็นเหตุการณ์ที่มีความทันสมัย สดใหม่ ทันต่อเหตุการณ์
2. ความใกล้ชิด เพราะข่าวที่มีความใกล้ชิดกับตัวผู้อ่านมากเท่าใดผู้อ่านก็จะให้ความสำคัญและความสนใจต่อข่าวนั้นมากยิ่งขึ้น
3.ความสำคัญหรือความเด่นของข่าว อยู่ที่ว่าข่าวนั้นจะเด่นในเรื่องใด อาจเป็นเรื่องของ บุคคลที่มีความเด่น ฐานะของผู้เป็นข่าว เวลาหรือสถานที่ที่เป็นข่าวก็สามารถมีความสำคัญต่อข่าวด้วย
4.ความกระทบกระเทือน คือการมีความใกล้เกี่ยวข้องกับผู้อ่านโดยตรงหรือมีผลกระทบต่อคนจำนวนมาก
5.ความมีเงื่อนงำ คือการค้นหาข้อเท็จจริง การมีปมในข่าว เงื่อนงำ น่าสนใจ น่าติดตาม
6.ความแปลก อาจจะเป็นในเรื่องของ คนในข่าว สิ่งของหรืออื่นๆ ที่สามารถเป็นข่าวได้นั้นต้องมีความแปลกเป็นที่สนใจของผู้อ่าน
7.ความขัดแย้ง อาจเป็นความขัดแย้งระหว่างบุคคล กลุ่มบุคคล ประเทศหรือระหว่างประเทศ เช่นในปัจจุบันคือมีความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกลุ่มพรรคไทยรักไทยกับพรรคประชาธิปปัตย์ หรือความขัดแย้งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยเรา
8.อารมณ์ เป็นสิ่งที่สะเทือนอารมณ์คนอ่าน เมื่ออ่านแล้วรู้สึกคล้อยตามข่าว เช่น ข่าวการตาย การสูญเสีย รู้สึกเสียใจตาม หรือข่าวชีวิตรันทด
9.ความก้าวหน้า จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวเทคโนฯ ใหม่ๆ หรือข่าววิชาการการพัฒนา

         นอกจากนี้แล้วการที่จะเป็นข่าวได้นั้นจะต้องมีคุณสมบัติที่ถูกต้องดังนี้
1.ความถูกต้อง ข่าวต้องชัดเจน มีความถูกต้องเป็นความจริงเท่านั้น
2.ความสมดุล ข่าวต้องมีความเป็นกลางไม่ลำเอียง
3.การไม่เอาตัวเข้าไปพัวพันกับการรายงานข่าว
4.ความชัดเจนและกระทันรัด เนื้อหาของข่าวจะไม่กำกวม สองแง่สามง่าม มีความชัดเจนอ่านแล้วรู้แล้เข้าใจทันที
5.เวลา ข่าวต้องทันสมัย รวดเร็ว สด ใหม่ อยู่เสมอๆ

         การเขียนข่าวแบบปีระมิดหัวกลับจะเป็นการเขียนข่าวที่นิยมมากที่สุด คือการเขียนข่าวที่เอาความสำคัญของข่าวขึ้นมาไว้ด้านบนสุดของข่าวตามส่วนประกอบของข่าว คือ
Headline พาดหัวข่าว
Lead ความนำ เป็นส่วนที่บอกถึง 5W1H จะมีความสำคัญมากที่สุดในข่าว
Neck ส่วนเชื่อม เป็นส่วนเชื่อมโยงเนื้อหาข่าวระหว่างความนำกับเนื้อหาข่าว
Body เนื้อข่าว เป็นรายละเอียดทั้งหมดของข่าว

การเขียนวิเคราะห์ข่าวและสถานการณ์



หลักการในการวิเคราะห์ข่าว วิเคราะห์สถานการณ์



การวิเคราะห์ข่าว วิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันเพื่อการสื่อสารนับเป็นวิชาที่มีความกว้างขวางในเนื้อหา และไม่มีกรอบที่ตายตัวเพราะจะมีสถานการณ์ใหม่ ๆ เข้ามาตลอด แต่โดยข้อเท็จจริงหากเรารู้หลัก แนวคิด ทฤษฎีการวิเคราะห์ในการมองเชิงระบบแล้วเราจะทำให้กรอบการมองเป็นระบบและ เชื่อมโยงกันได้ ด้วยหลักการของการวิเคราะห์ข่าว คือ จะต้องแยกแยะเนื้อหาหรือองค์ประกอบในข่าวโดยใช้หลักการ 5W 1H (Who Where Why When What How) เพราะเป็นหลักการสำคัญที่เราจะใช้วิเคราะห์ข่าว

อย่างไรก็ตามในการวิเคราะห์ข่าวหรือสถานการณ์บ้านเมือหากจะให้สมบูรณ์จริงๆจะต้องมีหลักการขององค์ประกอบในการเขียนดังนี้

· กรอบของความคิดวิเคราะห์ คือ กรอบความคิดในเรื่องที่จะวิเคราะห์

· หน่วยที่จะวิเคราะห์เช่น ถาจะวิเคราะห์การเมือง หน่วยย่อย ก็คือ นักการเมือง และพรรคการเมือง)

· ความคิดเห็น ข้อมูลที่หายาก คุณค่าของบทวิเคราะห์มักจะมาพร้อมความคิดเห็น

· มุมมอง ในมุมมองของความคิดนั้นอาจจะมีหลากหลาย อยู่ที่ว่าเราจะเลือกเอาอันไหนเข้ามาใช้ในบทวิเคราะห์

· บทสรุป ซึ่งจะมีในบทวิเคราะห์ อยู่ที่ว่าจะสรุปแบบไหนให้คนอ่านเข้าใจและเห็นด้วยกับบทวิเคราะห์

คุณสมบัติของข่าว


คุณสมบัติของข่าว
ในการพิจารณาคัดเลือกเรื่องราวที่จะนำมาตีพิมพ์เป็นข่าวนั้น นอกจากจะต้องพิจารณาเรื่ององค์ประกอบของข่าวแล้ว ยังต้องพิจารณาด้านคุณภาพของข่าวด้วย ข่าวที่ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้
1.  มีความถูกต้องครบถ้วน(Accurracyทุกรายละเอียดของข่าวไม่ว่าจะเป็นชื่อแหล่งข่าว ตำแหน่ง หรือความคิดเห็น จะต้องถูกรายงานอย่างถูกต้องครบถ้วน เป็นข้อเท็จจริง ไม่ถูกบิดเบือน
2.  มีความสมดุลและเป็นธรรม (Balance and Fairness)  ผู้รายงานข่าวต้องนำเสนอข่าวทุกแง่ทุกมุมอย่างสมดุล เช่น เรื่องที่เสนอความขัดแย้ง ก็ต้องนำเสนอความคิดเห็นของทั้งสองฝ่ายที่โต้แย้งกันอย่างสมดุลและเป็นธรรม
3.  มีความเที่ยงตรง (Objectivity)  รายงานข่าวอย่างตรงไปตรงมาอย่างปราศจากอคติใดๆ ไม่สอดแทรกความคิดเห็นส่วนตัวของผู้รายงานข่าวเข้าไปในข่าว
4.  เข้าใจง่าย กะทัดรัด และชัดเจน (Simplicity, Concise, and Clear)  การรายงานข่าวต้องเข้าใจง่าย ให้ผู้อ่านสามารถจับประเด็นได้เร็ว ด้วยประโยคกะทัดรัด แจ่มแจ้ง
5.  ความใหม่สดทันต่อเหตุการณ์ (Recentness)  ข่าวที่นำเสนอต้องใหม่ สด ทันเหตุการณ์ เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน หนังสือพิมพ์แต่ละฉบับจึงแข่งขันกันในเรื่องความรวดเร็วของการนำเสนอข่าว ให้ถึงมือผู้อ่านเร็วที่สุด
6.  ข่าวต้องมี 5W 1H ได้แก่ Who What Where When Why และ How เพื่ออธิบายว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อใด ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น และเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นอย่างไร

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

ไลฟ์การ์ดถูกไล่ออกทำคลิปล้อ'กังนัมสไตล์'


ไลฟ์การ์ดถูกไล่ออกทำคลิปล้อ'กังนัมสไตล์'


'ไลฟ์การ์ด' หรือเจ้าหน้าที่ช่วยชีวิตทางน้ำ ถ่ายคลิปล้อตามกระแส 'กังนัมสไตล์' ถูกหัวหน้าไล่ออก อ้างพฤติกรรมไม่เหมาะสม


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ไลฟ์การ์ดหรือหน่วยช่วยชีวิตทางน้ำ 14 คนที่สระน้ำสาธารณะในเมืองเอลมอนเต รัฐแคลฟอร์เนีย ถูกไล่ออกจากงาน หลังทำคลิป มิวสิควิดีโอ เลียนแบบ กังนัม สไตล์ ของปาร์ก แจ ซอง หรือพีเอสวาย ศิลปินป็อปเกาหลี  ที่กำลังเป็นกระแสโด่งดังและมีการทำคลิปล้อเลียนกันอย่างสนุกสนานทั่วโลก


นายกาเบรียล กอนซาเลส หัวหน้าไลฟ์การ์ดที่โดนไล่ออกด้วย กล่าวว่า หลังจากคลิปเต้นในชุดว่ายน้ำและกางเกงขาสั้นสีแดงสด เผยแพร่ออกไปบนเวบไซต์ยูทูบในชื่อว่า "ไลฟ์การ์ด-สไตล์" ได้สร้างความไม่พอใจแก่หัวหน้า และไล่พวกเขาออกเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลว่า แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมและน่ารังเกียจ ซึ่งสร้างความงุนงนแต่ตนเองมาก และคนในชุมชนก็ถามว่า คลิปวิดีโอผิดตรงไหน
 ขณะที่เจ้าหน้าที่ของเมืองเอลมอนเต ให้เหตุผลอีกอย่างว่า ไลฟ์การ์ดที่เต้นกังนัมสไตล์ ถูกไล่ออกเพราะใช้สระน้ำและเครื่องแบบที่ถือเป็นของส่วนร่วม เพื่อวัตถุประสงค์ส่วนตัว
 บรรดานักเต้นสมัครเล่น กล่าวว่า พวกเขาทำคลิปวิดีโอกังนัมสไตล์ เพื่อบันทึกความทรงจำสนุกๆก่อนกลับไปเรียนเท่านั้น และถ่ายทำนอกเวลางาน ไม่คิดว่าจะเป็นพิษเป็นภัย และทำให้ใครต้องเดือดร้อน
 การถูกไล่ออกจากงานแบบฟ้าผ่า จะสร้างความลำบากแก่ไลฟ์การ์ดหนุ่มสาวเหล่านี้หลายคน เพราะหวังจะใช้เงินจากการทำงานช่วงฤดูร้อนจ่ายค่าหน่วยกิตและค่าหนังสือ
 ขณะนี้ ไลฟ์การ์ดทั้ง 14 คนกำลังพยายามขอกลับไปทำงานใหม่เพราะมองว่าเป็นการไล่ออกอย่างไม่เป็นธรรม โดยเปิดเฟซบุ๊ค ขอเสียงสนับสนุน และยื่นคำร้องให้ลงชื่อผ่านเวบไซต์ Change.org

สื่อสารภาษามือ

สื่อสารภาษามือง่ายๆ









ที่มา : http://www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=2721

KICK KICK

kick kick รักเธอมากกว่าเมื่อวาน



ที่มา www.youtube.com

วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก


3 พฤษภาคม  2555 วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก



เมื่อปี 2534 องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโกเสนอให้สมัชชาใหญ่องค์การสหประชาชาติประกาศให้วันที่ 3 พฤษภาคมของทุกปีเป็นวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก  สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยได้มีการจัดกิจกรรมเพื่อการรณรงค์ให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ตระหนักและเล็งเห็นถึงความสำคัญเกี่ยวกับเสรีภาพของสื่อมวลชน   ในขณะเดียวกันจะมีการประกาศแถลงการณ์เพื่อแสดงให้เห็นถึงท่าทีและจุดยืนของสื่อมวลชนไทยด้วย  จึงถือว่าเป็นวันที่ผู้ที่ทำงานด้านสื่อจะต้องทบทวนและพูดคุยกัน โดยเฉพาะเรื่องสิทธิในการแสดงออกและจริยธรรมของวิชาชีพ
ในทุกๆปี  วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลกถือเป็นวันสำคัญของนักสื่อสารมวลชน  เพื่อเป็นการย้ำถึงเจตนารมณ์และหลักการที่เป็นพื้นฐานของเสรีภาพสื่อมวลชนทั่วโลกซึ่งก็คือเสรีภาพในการแสดงออก   ในวันสำคัญนีจึงถือว่าเป็นวาระที่ประเทศต่างๆ  รัฐบาล ประชาชน และสื่อมวลชนเองจะได้ร่วมกันปลุกจิตสำนึก   นับเป็นโอกาสดีที่จะได้มีการพิจารณาและพัฒนาข้อคิด  ข้อเสนอต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพในการแสดงออกของสื่อมวลชน  ในขณะเดียวกันเป็นการเปิดโอกาสให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้มีการประเมินสถานการณ์ของเสรีภาพในการแสดงออกของสื่อมวลชน
เสรีภาพของสื่อมวลชนเถือเป็นรากฐานของสิทธิมนุษยชน   และเป็นหลักประกันเสรีภาพอื่นๆด้วย เสรีภาพของสื่อมวลชนจะกระตุ้นให้เกิดความโปร่งใส  และธรรมาภิบาล   เพื่อเป็นหลักประกันว่าสังคมจะได้รับความยุติธรรมที่แท้จริง   อีกทั้งยังเป็นสะพานที่นำไปสู่การสร้างความเข้าใจและความรู้   สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและวัฒนธรรมระหว่างประเทศต่างๆ อันเป็นเงื่อนไขที่ก่อให้เกิดความเข้าใจที่แท้จริง และความร่วมมือระหว่างประเทศที่ยืนนาน
วันที่ 3 พฤษภาคมของทุกปี องค์กรที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชนทั่วโลกจะได้มีการย้ำเตือนรัฐบาลทุกประเทศให้ตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามพันธะสัญญาที่จะเคารพสิทธิในการแสดงออกของสื่อมวลชน   แม้ว่าในปัจจุบันเสรีภาพในการแสดงออกของสื่อมวลชน   ยังไม่เป็นที่ยอมรับและเคารพในหลายประเทศ ทั้งๆ ที่เป็นตัวจักรสำคัญในขบวนการประชาธิปไตยและการมีส่วนร่วมของประชาชนในขบวนการตัดสินใจ พลเมืองจะตัดสินใจลงคะแนนเสียงได้ถูกก็ต่อเมื่อได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง เข้าถึงข้อมูลและความคิดเห็นได้อย่างอิสระ และแสดงความเห็นได้อย่างอิสระ เสรีภาพในการแสดงออกไม่ได้สำคัญต่อศักดิ์ศรีของแต่ละคนเท่านั้น แต่ยังสำคัญต่อการมีส่วนร่วม การตรวจสอบ และประชาธิปไตยอีกด้วย
วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลกเป็นโอกาสที่สื่อฯจะได้บอกกล่าวและกระตุ้นให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของเสรีภาพในการแสดงออกของสื่อมวลชน และจะได้รับรู้ว่า มีสื่อมวลชนทั่วโลก ถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกโดยการเซ็นเซอร์ข่าวและงานเขียน สำนักพิมพ์ถูกปรับ ถูกขู่ ถูกปิดชั่วคราวหรือถาวร และผู้สื่อข่าว บรรณาธิการถูกทำร้าย ถูกคุมขังหรือถูกฆ่า

วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

บทบาทสื่อมวลชนกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

บทบาทสื่อมวลชนกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ถึงแม้สังคมจะตระหนักถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นดังกล่าวที่รุนแรง ขึ้นทุกขณะ   แต่คนในสังคมก็ยังไม่ให้ความสำคัญหรือหันมาช่วยกันรักษา หรือร่วมกันรักษาธรรมชาติที่ลดน้อยลงไปทุกวัน  ในฐานะของหน่วยงานที่ทำงานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงเห็นว่า เครื่องมือหนึ่งที่จะทำให้ประชาชนหันมาให้ความสนใจกับปัญหานี้ คือการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน

ดังนั้น จึงคิดว่าควรจะศึกษานโยบายของสื่อในการนำเสนอข่าว สกู๊ป และบทความที่มีเนื้อหาด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงศึกษาประเด็นและคุณลักษณะของเนื้อหาที่นำเสนอโดยได้ดำเนินการศึกษา เปรียบเทียบการนำเสนอข่าวและบทความด้านสิ่งแวดล้อมของหนังสือพิมพ์2 ฉบับคือหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ และหนังสือพิมพ์ข่าวสด ในช่วงระยะเวลา 3 เดือน คือระหว่างเดือนตุลาคม – เดือนธันวาคม พ.ศ. 2551 และสัมภาษณ์หัวหน้าข่าวของหนังสือพิมพ์ทั้ง 2 ฉบับ  ซึ่งมีหน้าที่ในการตัดสินใจเลือกข่าวนำเสนอ 

ผลที่ได้รับจากการศึกษา พบว่าในช่วง 3 หนังสือพิมพ์เดลินิวส์จะนำเสนอข่าวและบทความสิ่งแวดล้อมรวมทั้งหมด 167 เรื่อง ในขณะที่หนังสือพิมพ์ข่าวสดนำเสนอ 109 เรื่อง แต่เมื่อพิจารณาถึงที่มาของแหล่งข่าวแล้วพบว่า หนังสือพิมพ์ข่าวสดมีแหล่งที่มาของข่าวหลากหลายกว่า ในขณะที่เดลินิวส์จะเน้นแหล่งข่าวที่เป็นภาครัฐเสียส่วนใหญ่ ซึ่งก็สอดคล้องกับนโยบายของหนังสือพิมพ์แต่ละฉบับ

จากผลการศึกษาดังกล่าวเป็นไปได้ไหมว่าหนังสือพิมพ์แต่ละฉบับจะมีผู้สื่อข่าว ที่ติดตามข่าวสิ่งแวด ล้อม เพื่อจะได้ติดตามข้อมูลในด้านต่างๆ พร้อมทั้งมีแหล่งข่าว  เพื่อรับรู้ข้อมูลเพิ่มมากขึ้น และสื่อมวลชนจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญยิ่งในการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม

ที่มา : http://www.tja.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=1828:2010-06-29-10-57-00&catid=123:-11&Itemid=32